Support
greenenergy
0915541422
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

Flourish spa and slim herbal hot cream chilli oil and green tea สมุนไพรพริก

suphasak | 17-11-2558 | เปิดดู 633 | ความคิดเห็น 0

 พริก Chilli

พริก ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L. พริก ภาษาอังกฤษ : ChiliChilli Pepper แต่ถ้าเป็นพริกขนาดใหญ่ ๆที่มีรสอ่อน ๆเราจะเรียกว่า Bell Pepper, Pepper, Paprika, Capsicum เป็นต้น โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ มีการนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นแล้ว

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว (คือส่วนเผ็ดมากที่สุด) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสารชนิดนี้จะทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก แม้จะนำมาต้มให้สุดหรือแช่แข็งก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเผ็ดไปแต่อย่างใด โดยเราสามารถเรียงลำดับความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู > พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริกหวาน เป็นต้น

หน่วยวัดความเผ็ดเดิมคือ สโควิลล์ (Seoville) (เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ สโควิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน) โดยพริกขี้หนูสวนบ้านเราจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร วัดค่าได้ถึง 350,000 สโควิลล์หรือมากกว่า

พริกอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ อย่าง วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินซี ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ใยอาหาร เป็นต้น โดยในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว !

หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกคุณควรรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าที่จะดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำจะมีผลเพียงแค่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดยังคงอยู่ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพริกเพราะอาจจะทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารได้ และสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่มักจะสำลักง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเช่นกัน และควรจะระวังพริกป่นตามร้านอาหาร พริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลอทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ดังนั้นควรเลือกรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อราและเปลี่ยนบ่อย ๆทุก ๆ 3 วันพร้อมทั้งการจัดเก็บในภาชนะที่แห้งและสะอาด

ประโยชน์ของพริก

1.   พริก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย

2.   ช่วยให้อารมณ์ดี ทำให้ร่างกายสร้างสาร Endorphin (สารแห่งความสุข)

3.   ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

4.   วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย

5.   ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา

6.   ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น

7.   สารแคปไซซินช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย

8.   ช่วยในการดีท็อกซ์ของร่างกาย

9.   พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ

10.         ช่วยบรรเทาอาการไอ

11.         ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ

12.         ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน

13.         ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น

14.         ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้

15.         ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระเลือดลดลง

16.         ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน

17.         ช่วยในการสลายลิ่มเลือด

18.         ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว

19.         ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น

20.         ช่วยลดความดันโลหิต

21.         ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด

22.         ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น

23.         สาร Capsaicin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร

24.         ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อในร่างกาย

25.         ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ

26.         มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ

27.         ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆในบริเวณจมูก ลำคอ ปอด เยื่อบุผนังช่องปาก

28.         ช่วยไม่ให้เมือกเสีย ๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย

29.         สรรพคุณพริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง อาการปวด ศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ เป็นต้น

30.         พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น

31.         ใช้ในการประกอบอาหาร ปรุงแต่งอาหาร

32.         นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค

33.         รวมไปถึงอาวุธป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทย (ไม่ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรง)

34.         ในด้านการแพทย์แผนจีนนำสารนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง

35.         ในด้านการแพทย์ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น

36.         ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลท์ สลายไขมัน

แหล่งอ้างอิง : และขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://en.wikipedia.org/wiki/Chili_pepper

ความคิดเห็น

วันที่: Sun Apr 20 03:29:24 ICT 2025

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0